นพ.ธนะบุญ ประสานนาม รองผู้อำนวยการและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังประจำโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี กล่าวว่า หลังจากจบแพทย์ก็เริ่มทำงานเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง แต่ว่าช่วงแรกผมดูทั้งคนไข้ผิวหนังและคนไข้โรคทั่วไป เรียกว่าตรวจทางด้านผิวหนังโดยเฉพาะแล้ว ก็ต้องช่วยทางแผนกอายุรกรรมไปด้วย นอกจากจะตรวจคนไข้นอกและตรวจคนไข้ในแล้ว ยังอยู่เวรห้องฉุกเฉินเหมือนกับแพทย์ทั่วไป ช่วงหนึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บริหารให้เป็นหัวหน้ากลุ่มงานผู้ป่วยนอก ซึ่งจะทำงานเชื่อมโยงไปสู่ชุมชน การออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทำให้เราเริ่มมองเห็นปัญหาของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ว่ามันคงไม่ใช่เพียงแค่ให้คนไข้หลั่งไหลเข้ามารักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น เราเริ่มไปเยี่ยมบ้าน เราเริ่มไปดูแล สนับสนุนอนุเคราะห์ในเรื่องของความเป็นอยู่ เรื่องของเครื่องมือเครื่องใช้ การดูแลรักษาให้ครบทุกมิติ
“ผมทำงานด้านพัฒนาชุมชนมาประมาณ
5-6 ปี โดยเครือข่ายของโรงพยาบาลศูนย์ราชบุรี จะแบ่งเป็นเขตอำเภอเมือง
ซึ่งจะมีทั้งหมด 26 ตำบล และมีสถานีอนามัย แต่ปัจจุบันได้ยกระดับเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบล ทำให้ผมมองว่าคนไข้ที่อยู่นอกเขตโรงพยาบาลราชบุรี ก็ไม่จำเป็นต้องมาในโรงพยาบาลแล้ว
ตรงนี้เป็นการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ คนไข้ก็พึงพอใจ
แต่บางครั้งบางคราวเราก็ลงไปเยี่ยมในพื้นที่ คนไข้ที่นอนอยู่ติดบ้าน ติดเตียงต่าง
ๆ
แต่คนไข้บางคนไม่ได้ป่วยเฉพาะโรคผิวหนังอย่างเดียวป่วยเป็นโรคอื่น ๆ ด้วย ถ้าเขาเป็นอยู่มันไม่สามารถควบคุมได้
เป็นประเด็นให้ผมคิดว่า บางทีเรามองกันมุมมองของแพทย์มันคงจะไม่ได้
เราอาจจะต้องเข้าไปดูว่าจริง ๆ แล้วโดยบริบทพื้นฐาน ความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างไร
แพทย์บางคนถ้าไม่ได้ไปเยี่ยมที่บ้านคนไข้อาจจะไม่รู้ว่าคนไข้คนนี้ ทำไมถึงขาดยา
ทำไมคนไข้คนนี้ถึงปฏิบัติตัวไม่ได้ตามที่เราแนะนำ เช่น บอกให้กินอาหารหรือสิ่งที่มีประโยชน์
แต่พื้นฐานของครอบครัวไม่มีอะไรจะกิน พอเราเข้าไปถึงได้เห็นมุมมองของสภาพความเป็นจริง
แต่การไปเยี่ยมบ้านทำให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วเขายังต้องการความช่วยเหลือหลาย ๆ ด้าน
หรือสิ่งที่เราเรียนรู้ทางทฤษฎี ถ้าจะมาปรับใช้กับสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าจะทำอย่างไรบ้าง
จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดมากกว่า”
โดยปกติหากผมไม่ติดภารกิจอะไร
ช่วงบ่ายก็จะไปกับทีมที่เรียกว่า เวชกรรมสังคม ซึ่งประกอบไปด้วย หมอและกลุ่มงานพยาบาลชุมชน
เราจะร่วมกันไป ซึ่งหลัง ๆจะเริ่มมีพันธมิตร มีการนำแพทย์เฉพาะทางไปดูแล คนไข้ที่เป็นเบาหวาน
หรือคนไข้โรคไต ก็พาแพทย์โรคไตไปดูด้วย ตรงนี้เราทำงานร่วมกันเป็นทีม
ไปถึงดูแลคนไข้ตรงพื้นที่ แก้ไขให้ตรงกับบริบทปัญหาที่เขาเป็น ซึ่งจะแก้ได้ถูกจุดมากกว่า
แล้วแพทย์ก็มีความเข้าใจว่า จริง ๆ คนไข้เป็นแบบนี้นะ ทำให้เราทราบสาเหตุของการควบคุมโรคไม่ได้
เพราะเรามัวแต่พูดว่า อย่ากินโน่นอย่ากินนี่ แต่เขาไม่มีอะไรกิน สุดท้ายถ้าไม่มี สภาพฐานะของคนไข้เป็นแบบนี้จะแนะนำได้แค่ไหน
หมอจะมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น จากที่เราไปเยี่ยมบ้าน
จะเห็นว่าบ้านนี้นอนติดอยู่กับเตียง ขาดเตียงที่ดี ๆ เตียงที่เหมาะสมกับคนไข้
ไม่มีรถเข็นนั่งที่จะพาเขาออกมาข้างนอกได้
พอเราเห็นตรงนี้เราก็เริ่มบอกว่าเราจะช่วยเหลืออย่างไร
เริ่มต้นจากทุนส่วนตัวก่อนเพราะเราไม่รู้จะช่วยอย่างไร ซื้อเตียง ซื้อที่นั่ง
รถเข็นไปให้ พอไปสักระยะหนึ่งสิ่งที่เราทำดีคนไข้ได้ประโยชน์ เราลองโพสต์ลงเฟซบุกว่า
ขาดตรงจุดนี้ยังมีคนไข้ที่ต้องการสิ่งที่สนับสนุนพวกนี้อยู่
มีใครสนใจอยากจะช่วยเหลือให้คุณภาพชีวิตคนไข้ดีขึ้นหรือเปล่า ก็เลยเกิด โครงการสะพานบุญ
ที่มีผู้มีจิตศรัทธาที่เห็นหลั่งไหลเข้ามาบริจาคเป็นจำนวนมาก หากทำให้มันไปในทางที่มีคุณค่าต่อสังคมมันก็เกิดขึ้นได้
พอเราทำแบบนี้ปรากฎว่าไม่น่าเชื่อคือน้ำใจของคนไทยมีค่อนข้างจะมาก
สิ่งที่เราเห็นมันส่งไปถึงตัวผู้รับอย่างแท้จริง แล้วคุณภาพชีวิตเขาก็ดีขึ้น
ตรงจุดนี้เหมือนเป็นโครงการที่ได้รับการสนใจ คนก็มาให้ความสนับสนุน ผมจำได้ว่าในช่วงหนึ่งปี
มีคนไข้ที่ไปช่วยเหลือ 100 - 200 คน ได้อุปกรณ์ไปช่วยเหลือเยอะแยะมาก
แล้วพอเราไปส่งเรามีการเชิญผู้ที่บริจาคมามอบให้ด้วยตัวเอง
มันก็เกิดความชุ่มฉ่ำชุ่มชื่นใจ ถึงตอนนี้โครงการสะพานบุญ เป็นการบอกต่อ
เมื่อบอกต่อ ก็จะมีคนที่จะบริจาคอยู่เรื่อย ๆ
พอบริจาคมาเราจะให้ทางพื้นที่เป็นคนดูแลรักษา สมมติว่าเมื่อคนไข้คนนี้หมดความจำเป็นที่จะต้องใช้
เราก็นำจัดส่งต่อให้คนไข้รายอื่น ๆ ต่อไป ก็จะเป็นการหมุนเวียนใช้กันอยู่ในชุมชน
ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่ามีความภาคภูมิใจว่า
เราไปดูแลเรื่องโรคผิวหนังแล้วยังดูเรื่องอื่น ๆ
แล้วคนไข้ก็ได้ประโยชน์ แล้วก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ก็เหมือนกับพอสิ่งที่ได้มา
เมื่อคนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้วเราก็รู้สึกชื่นใจ สบายใจ
ก็มีกำลังใจที่จะทำงานที่ดีต่อไป
No comments:
Post a Comment