บริษัท เอสที เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยอินทรีย์เคมี ยาวนานกว่า 15 ปี ปรับธุรกิจสู้โควิด-19 เปิดตัวโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์พร้อมหนุนให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรายได้เสริมจากการจำหน่ายปุ๋ยตามความต้องการของพืชและสภาพของดินเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคอย่างยั่งยืนดร.สมบัติ สุขมะณี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสที เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ในอดีตดินมีความอุดมสมบูรณ์ มีอินทรีย์วัตถุสูง มีแร่ธาตุอาหาร มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย เพราะอดีตเคยเป็นป่าไม้ที่เติมอินทรีย์วัตถุจากซากพืชซากสัตว์มาหลายพันปี ดินจึงเป็นแหล่งอาหารของพืช เป็นภูมิคุ้มกันให้พืชและส่งต่อเป็นอาหารที่ดีให้มนุษย์มายาวนาน กว่า 100 ปีที่มนุษย์ถางป่ามาเพาะปลูกพืชทำเกษตรกรรมและใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิตพืช และละเลยการปรับปรุงดิน แถมยังเผาทำลายตอซังซากพืช ดินจึงเริ่มเสื่อมลง จุลินทรีย์ลดลง พืชจึงเริ่มอ่อนแอขาดภูมิคุ้มกัน จึงถูกโจมตีโดยโรคและแมลงได้ง่าย มนุษย์จึงต้องผลิตเคมีภัณฑ์มาใช้ป้องกันรักษา ซึ่งกลายเป็นปัญหาเพิ่มภาระทุนและปนเปื้อนเป็นพิษกับมนุษย์ เมื่อเห็นปัญหาเช่นนี้แล้ว ทุกคนที่ทำอาชีพเกษตรกรรม จึงต้องดูแลรักษาดินให้ดีอยู่เสมอ
จึงเป็นที่มาของพันธกิจสำคัญของบริษัท เอสที เฟอร์ทิลิตี้ จำกัด ที่เราต้องรักษาฟื้นฟูดินด้วยการพัฒนาปุ๋ยที่มีอินทรีย์วัตถุ เช่น ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยอินทรีย์เคมี และส่งเสริมการใช้ เพื่อรักษาฟื้นฟูดิน เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดินให้จุลินทรีย์กลับคืนมา สร้างภูมิคุ้มกันให้ดิน เมื่อดินดีจะส่งต่อภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคพืช จึงอาจไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี ซึ่งจะดีต่อสุขภาพของเกษตรกรและส่งต่อภูมิคุ้มกันเป็นอาหารที่ดีให้ผู้บริโภคด้วย นี่จึงเป็นการสร้างความยั่งยืนต่อการทำเกษตรกรรมในอนาคต
“จากประสบการณ์กว่า 15 ปี ในด้านเทคโนโลยีและการบริหารต้นทุน และความรู้ด้านปุ๋ย ธาตุอาหารพืช และวัสดุปรับปรุงดิน ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะแนะนำสูตรปุ๋ยต่างๆ ให้กับเกษตรกร ประกอบกับบริษัทฯ สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง จึงทำให้มีความมั่นใจว่า จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ปุ๋ยเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานในรูปแบบที่แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราจึงเป็นผู้นำในการพัฒนาสูตรปุ๋ย และเป็นปุ๋ยคุณภาพที่สามารถบอกได้ว่า เอสที เฟอร์ทิลิตี้ ผลิตปุ๋ยที่ “รู้ใจพืช” อย่างแท้จริงนายนิธิวิทย์ งามเกษม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวถึงสถานการณ์ของตลาดปุ๋ยในปัจจุบัน โดยอ้างอิงข้อมูลจากศูนย์วิจัยกรุงศรีที่ระบุว่า ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีในช่วงปี 2561-2563 ที่ผ่านมานั้นมีการขยายตัวอยู่ในช่วง 5-7% ต่อปี โดยมีปัจจัยหนุนมาจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการขยายการเพาะปลูก และเกษตรกรมีกำลังซื้อกระเตื้องขึ้นตามราคาสินค้าเกษตร รวมถึงแนวโน้มการขยายพื้นที่เพาะปลูกอ้อยและปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นพืชที่มีอัตราการใช้ปุ๋ยเคมีต่อไร่สูง อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้ส่งกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากมีหลายธุรกิจที่ปิดตัว จึงส่งผลต่อรายได้ของประชาชน ประกอบกับเศรษฐกิจทั่วโลกก็ตกต่ำ จึงทำให้ประเทศไทยต้องหันมาพึ่งพาตัวเองมากขึ้น
โดยในส่วนของเกษตรกรนั้น ได้มีการหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยอินทรีย์เคมีเพิ่มขึ้น รวมถึงการส่งเสริมจากภาครัฐให้เกษตรกรผลิตปุ๋ยใช้เอง ซึ่งทางบริษัทฯ เล็งเห็นว่า การพัฒนาการขายปุ๋ยผ่านออนไลน์ (ปุ๋ยออนไลน์.com) และสร้างแอพขายปุ๋ย (App Puii) นับเป็นรายแรกในแวดวงปุ๋ยที่บริษัทฯ ได้พัฒนาแอพพลิเคชั่นขายปุ๋ยขึ้น เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการให้ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยของบริษัทฯ แก่เกษตรกร ในการให้ความรู้การใช้ปุ๋ยที่ถูกต้องและเป็นอีกหนึ่งโอกาสสร้างธุรกิจเสริมสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอีกด้วย
No comments:
Post a Comment