"อว. เผยฉีดวัคซีนทั่วโลกแล้ว 768 ล้านโดส ใน 168 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 20 ล้านโดส ไทยฉีดแล้วมากกว่า 5 แสนโดส" - Thailand Times

Breaking

Post Top Ad

Sunday, 11 April 2021

"อว. เผยฉีดวัคซีนทั่วโลกแล้ว 768 ล้านโดส ใน 168 ประเทศ/เขตปกครอง ส่วนอาเซียนฉีดแล้วทุกประเทศ รวมกันกว่า 20 ล้านโดส ไทยฉีดแล้วมากกว่า 5 แสนโดส"

➡️(11 เมษายน 2564) ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยข้อมูลสถิติการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลกแล้ว 768 ล้านโดส ใน 168 ประเทศ/เขตปกครอง โดยขณะนี้อัตราการฉีดล่าสุดรวมกันทั่วโลกที่ 17.7 ล้านโดสต่อวัน และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณารายประเทศพบว่าอิสราเอลได้ฉีดวัคซีนครอบคุลมเกินครึ่งของประชากรแล้ว ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฉีดวัคซีนสูงที่สุดที่ 183 ล้านโดส โดยมีชาวอเมริกันกว่า 70 ล้านคนได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว"


ด้านอาเซียนขณะนี้ทุกประเทศได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว มียอดรวมกันที่ประมาณ 20 ล้านโดส โดยสิงคโปร์ฉีดวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดในภูมิภาค (14.6% ของประชากร) ในขณะที่อินโดนีเซียฉีดวัคซีนในจำนวนมากที่สุดที่ 15 ล้านโดส  สำหรับประเทศไทยข้อมูล ณ วันที่ 10 เมษายน 2564 ได้ฉีดวัคซีนแล้วกว่า 555,396 โดส โดยฉีดให้กับบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุขมากที่สุดในสัดส่วนกว่า 42%


🌏 ในการฉีดวัคซีน จำนวน 768 ล้านโดสนี้ อว. ขอรายงานสถิติที่สำคัญ คือ


1. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วมากที่สุด  

     3 ประเทศลำดับแรกที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 100 ล้านโดส รวมกันเกือบ 60% ของปริมาณการฉีดวัคซีนทั่วโลก

   1. สหรัฐอเมริกา จำนวน 183.47 ล้านโดส (24% ของจำนวนการฉีดทั่วโลก)

   2. จีน จำนวน 161.12 ล้านโดส (21%)

   3. อินเดีย จำนวน 101.28 ล้านโดส (13%) 


2. ประเทศที่ฉีดวัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด 

    มี 8 ประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรอย่างน้อย 25% แล้ว ได้แก่ (เฉพาะประเทศที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คน)

   1. อิสราเอล (56.5% ของประชากร) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Moderna)

   2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (41.7%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)

   3. มัลดีฟส์ (38.1%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford)

   4. ภูฏาน (31.8%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford)

   5. ชิลี (31.4%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech และ Sinovac)

   6. บาห์เรน (31%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford, Pfizer/BioNTech, Sinopharm และ Gamaleya)

   7. สหราชอาณาจักร (29.2%) (ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford และ Pfizer/BioNTech)

   8. สหรัฐอเมริกา (28.5%) (ฉีดวัคซีนของ Pfizer/BioNTech Moderna และ Johnson&Johnson)


3. จำนวนการฉีดวัคซีนแยกตามภูมิภาค

   1. เอเชียและตะวันออกกลาง 46.57%

   2. อเมริกาเหนือ 26.69%

   3. ยุโรป 18.03%

   4. ลาตินอเมริกาและแคริบเบียน 6.82%

   5. แอฟริกา 1.73%

   6. โอเชียเนีย 0.16%


4. ยอดการจองวัคซีนทั่วโลก  รวมกันประมาณ 9,600 ล้านโดส 

-ประเทศที่มียอดการจองวัคซีนจำนวนมากที่สุด ได้แก่ อินเดีย 

-วัคซีนที่ได้รับการจองมากที่สุดคือวัคซีนของ AstraZeneca/Oxford

-ประเทศที่มีการจองวัคซีนในสัดส่วนประชากรมากที่สุดคือ สหราชอาณาจักร


5. ในภูมิภาคอาเซียน ได้ฉีดวัคซีนแล้วครบ 10 ประเทศ รวมจำนวน 20,750,481 โดส ได้แก่

   1. สิงคโปร์ จำนวน 1,667,522 โดส (14.6% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Moderna

   2. อินโดนีเซีย จำนวน 15,103,804 โดส (2.8% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac

   3. มาเลเซีย จำนวน 941,200 โดส (1.4% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Pfizer และ Sinovac 

   4. กัมพูชา จำนวน 418,569 โดส (1.3% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm

   5. พม่า จำนวน 1,040,000 โดส (1% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca

   6. ไทย จำนวน 555,396 โดส (0.4% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca

   7. ฟิลิปปินส์ จำนวน 922,898 โดส (0.4% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinovac และ AstraZeneca

   8. ลาว จำนวน 40,732 โดส (0.3% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ Sinopharm

   9. บรูไน จำนวน 2,323 โดส (0.3% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca

   10. เวียดนาม จำนวน 58,037 โดส (<0.1% ของประชากร) ฉีดวัคซีนของ AstraZeneca


6. ข้อมูลการฉีดวัคซีนล่าสุดของประเทศไทย ณ วันที่ 10 เมษายน 2564 

     จัดสรรวัคซีนแล้วทั้งหมด 1,038,385 โดส 

     จำนวนการฉีดวัคซีนสะสม 555,396 คน ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็น

     -เข็มแรก 485,957 โดส

    -เข็มสอง 69,439 โดส


กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการฉีดวัคซีน เรียงตามสัดส่วนมากที่สุด ได้แก่

   -บุคลากรการแพทย์/สาธารณสุข และ อสม. 42%

   -ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 39%

   -เจ้าหน้าที่อื่นๆที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 10%

   -ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และบุคคลที่มีโรคประจำตัว อย่างละ 5%


แหล่งข้อมูล Bloomberg Vaccine Tracker, กระทรวงสาธารณสุข


ประมวลข้อมูลโดย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)



No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad


Pages