วช. จับมือกับ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มุ่งสู่การเป็น Wellness Hub กระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพวิถีใหม่ - Thailand Times

Breaking

Post Top Ad

Tuesday, 27 September 2022

วช. จับมือกับ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ มุ่งสู่การเป็น Wellness Hub กระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพวิถีใหม่

วันที่ 26 กันยายน 2565  สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จัดพิธีลงนามในบันทึกข้อตกลงในการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเวลเนสทางการแพทย์รองรับการเป็นศูนย์กลางบริการเวลเนสของโลก โดยมี ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และ ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ร่วมลงนาม เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเวลเนสทางการแพทย์ของประเทศไทยให้เกิดขึ้น ณ ห้องประชุมจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ถนนพหลโยธิน กรุงเทพมหานคร

ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง วช. และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะเวลเนสทางการแพทย์ของประเทศไทยให้เกิดขึ้น และสามารถนำไปใช้ประโยชน์เชิงสาธารณะได้อย่างยั่งยืน รวมถึงเป็นการบูรณาการด้านวิชาการ การสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมการพัฒนาหลักสูตรรวมถึงการสร้างและควบคุมมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับการบริการเวลเนสทางการแพทย์ เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Global Wellness Hub รวมถึงยกระดับสู่การเป็นมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติด้านเวลเนสของประเทศไทย จากนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และเวลเนสระดับโลก เป็นนโยบายสาธารณะที่รัฐบาล ภาครัฐบาลและภาคเอกชน ภาคประชาสังคมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างให้ความสนใจและตื่นตัวกับโอกาสในการพัฒนาของอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรและบริการสุขภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจัยที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม จะต้องมีการผลิตและพัฒนาบุคลากรบริการเฉพาะทางที่เป็นแรงงานทักษะสูง (high-skilled labor)  มีความรู้ ความสามารถเฉพาะทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยหัวใจบริการ สามารถสื่อสารเชิงลึกด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ 


วช. ในฐานะหน่วยบริหารทุน ได้มีสนับสนุนทุนวิจัยและนวัตกรรม ด้านการแพทย์และสาธารณสุขมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการวิจัยให้สอดคล้องกับทิศทางในการพัฒนาประเทศ และหนึ่งในนโยบายที่สำคัญคือนโยบายพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และเวลเนส โดยเน้นหลักสูตรฐานสมรรถนะเวลเนสทางการแพทย์เพื่อสร้างการเรียนรู้มุ่งสู่การเป็น Wellness Hub ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะด้านเวลเนส ที่มีขอบข่ายการเรียนรู้ที่ครอบคลุมมิติการดูแลสุขภาพทั้ง 4 มิติ ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสุขภาพ ที่จะบูรณาการไปสู่การดูแลสุขภาพองค์รวมตามหลักการของเวลเนส  และครอบคลุมองค์ความรู้ทุกกิจกรรมในระบบเศรษฐกิจเวลเนส (Wellness Economy) รวมถึงการเรียนรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศธุรกิจสุขภาพการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรมบริการ วิทยาศาสตร์เวลเนส มาตรฐานตามกฎหมายหลักและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสุขภาพเชิงบูรณาการที่มีระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจรวมทั้งการรับรองคุณภาพมาตรฐานบริการเวลเนสที่เป็นที่ยอมรับระดับสากล เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Global Wellness Hub ให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน อันจะนำไปสู่การยกระดับขีดความสามารถของทรัพยากรบุคคลในระบบเศรษฐกิจฐานเวลเนส เพื่อไปสู่การเป็นผู้นำด้าน Wellness Hub ของประเทศไทยต่อไป 

ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ  กล่าวว่า ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาหลักสูตรเวลเนสแห่งชาติในครั้งนี้ เกิดจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพมีโอกาสร่วมงานกับ วช. มาหลายครั้งผ่านการจัดทำโครงการวิจัย ซึ่งบุคลากรของกรมได้รับทุนสนับสนุนจาก วช. เพื่อการพัฒนาตนเองและพัฒนาองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ ต่อการพัฒนาระบบสนับสนุนบริการสุขภาพของประเทศไทย และยังคงมุ่งมั่นต่อไปที่จะพัฒนาความร่วมมือกับ วช. อย่างต่อเนื่อง ในโอกาสที่ทั้งสองหน่วยงานได้มาร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเพื่อการพัฒนาหลักสูตรเวลเนสแห่งชาติในครั้งนี้ เป็นวิสัยทัศน์ของการพัฒนาโอกาสในการเป็น Wellness Hub ของประเทศไทย ขอบคุณ วช. ที่ได้เล็งเห็นโอกาสและให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนการวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักสูตรดังกล่าว ความสำเร็จจากความร่วมมือและการขับเคลื่อนพัฒนาโดยนักวิจัยจากหลากหลายสถาบันร่วมกันจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานวิชาการและองค์ความรู้ด้านเวลเนสที่เป็นแบบแผนส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน ต่อยอดการให้บริการสุขภาพที่ปลอดภัยประทับใจผู้ใช้บริการจากทั่วทุกมุมโลก อันจะเป็นการส่งเสริมการเป็น Global Wellness Hub ของประเทศไทยอย่างแท้จริง

ภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการ​ผลงานโครงการ​วิจัยต่าง ๆ อาทิเช่น การพัฒนา​มาตรฐาน​บริการเวลเนสเพื่อส่งเสริม​การเป็นศูนย์กลาง​ทางการแพทย์​ของประเทศไทย,การส่งเสริม​พัฒนา​ความรอบรู้​ด้านสุขภาพ​ของแรงงานข้ามชาติ​ กัมพูชา​ ลาวและเมียนมาร์​ในประเทศ​ไทยผ่านนวัตกรรม​การสื่อสาร​สุขภาพ​ดิจิทัล​แรงงาน​ข้ามชาติ,การอนุรักษ์​ภูมิปัญญา​ในธุรกิจ​นวดไทย, หลักสูตร​การนวดไทยและสปาจากภูมิปัญญา​ท้องถิ่น​เพื่อพัฒนา​อาชีพ,Kiosk : คลินิก​บริการ​ครบวงจร​ด้านสุขภาพ,แพลตฟอร์ม​ปัญญา​ประดิษฐ์​เพื่อการป้องกัน​โรคเบาหวาน เป็นต้น

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า จากวิกฤติการณ์โควิด 19 ที่ปรับเปลี่ยนวิถีการดูแลสุขภาพของผู้คนและสร้างโอกาสสำคัญทางธุรกิจ ทำให้เวลเนสกลายเป็นอุตสาหกรรมสุขภาพศักยภาพสูงที่เติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศไทย ที่ผู้ประกอบการรายใหม่ (Startup) มีโอกาสสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่อาจเพิ่มสูงได้ 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และด้วยต้นทุนที่ดีเลิศทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย จึงสร้างแรงดึงดูดให้แก่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนหรือร่วมลงทุน อีกทั้งยังช่วยต่อยอดให้ธุรกิจอื่น ๆ พัฒนาไปเพื่อการสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประเทศที่ช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจและพัฒนาสังคมสุขภาวะของประเทศไทยไปพร้อมกัน 









No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad


Pages