วัคซีนไอกรน (รุ่นใหม่) นวัตกรรมเพื่อคนไทยและตลาดโลก
วัคซีนป้องกันโรคไอกรนที่ใช้ในผู้ใหญ่และผู้สูงอายุในประเทศไทยปัจจุบันมีทั้งวัคซีนแบบรวมคือ วัคซีนบาดทะยัก คอตีบและไอกรน (Tdap) ซึ่งเป็นวัคซีนนำเข้าจากต่างประเทศ และวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ซึ่งถูกคิดค้นและผลิตโดยบริษัทในประเทศไทยซึ่งมีขบวนการผลิตวัคซีนที่แตกต่างจากวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทในยุโรปซึ่งมี 2 ชนิดคือ วัคซีนรวมโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ (Tdap (recombinant)) และวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ชนิดเดี่ยว (Recombinant acellular pertussis vaccine; ap) ซึ่งวัคซีนได้ถูกนำมาใช้ในการป้องกันโรคโดยการฉีดแก่หญิงตั้งครรภ์ในช่วงตั้งครรภ์ 20-36 สัปดาห์เพื่อการป้องกันโรคไอกรนในเด็กแรกเกิด ขณะเดียวกันการให้วัคซีนในวัยรุ่น ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุเพื่อลดอุบัติการณ์ของโรคและส่งผลลดการแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่น
การดำเนินการโครงการวิจัย PreBoost ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นการศึกษาการสร้างภูมิคุ้มกันโรคไอกรนและความปลอดภัยที่เกิดจากการใช้วัคซีนสูตรใหม่แบบลดขนาด (low-dose 2 microgram) ของวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ในกลุ่มประชากรทั่วไป (วัยรุ่นและผู้ใหญ่) และประชากรกลุ่มเปราะบาง (เช่น หญิงตั้งครรภ์) เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนวัคซีนสำหรับการป้องกันโรคไอกรน โดยทำการศึกษาวัคซีนสูตรใหม่แบบลดขนาด (low-dose 2 microgram) ในรูปแบบวัคซีนไอกรนชนิดเดี่ยว (Recombinant acellular pertussis vaccine; ap-2,5) และวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ (Tetanus-diphtheria-recombinant ap vaccine, Tdap-2,5) เปรียบเทียบกับวัคซีน Tdap ที่ผลิตโดยบริษัทในยุโรปและ วัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์และวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ชนิดเดี่ยวขนาดปกติที่ใช้ทั่วไป โดยได้ทำการศึกษาการฉีดวัคซีนในประชากรหลายช่วงวัยได้แก่ วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ รวมถึงหญิงตั้งครรภ์ พบว่าวัคซีนป้องกันโรคไอกรนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์สูตรใหม่แบบลดขนาด (low-dose 2 microgram) ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคไอกรนได้สูงกว่าและภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคงอยู่นานกว่าวัคซีนแบบรวม Tdap ที่ผลิตโดยบริษัทในยุโรปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะเดียวกันพบว่าวัคซีนสูตรใหม่แบบลดขนาดนี้มีผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนน้อยและไม่ต่างจากวัคซีนเปรียบเทียบ ทั้งยังมีความปลอดภัยในแม่และทารกแรกเกิด
ผลการศึกษาดังกล่าว นำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงการป้องกันโรคไอกรนโดยใช้วัคซีนสูตรใหม่แบบลดขนาด (low-dose 2 microgram) ของวัคซีนชนิดไร้เซลล์แบบรีคอมบิแนนท์ซึ่งเป็นผลผลิตในประเทศแก่ประชากรกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ...
- สตรีตั้งครรภ์ การให้วัคซีนไอกรนในสตรีขณะตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการเกิดโรคไอกรนในทารกแรกเกิดตามแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยให้มารดาได้สร้างภูมิคุ้มกันและส่งต่อภูมิคุ้มกันนี้ไปยังทารกในครรภ์
ทำให้ช่วง 6 เดือนแรกของชีวิตมีภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรนอย่างเพียงพอ
- กลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีโรคเรื้อรังให้วัคซีนเพื่อป้องกันโรคแก่ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
- กลุ่มผู้ใหญ่ วัยรุ่น และวัยเรียน ซึ่งเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคในประเทศไทย เป็นกลุ่มที่พบการระบาดของไอกรนกลับมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้โรคไอกรนในวัยรุ่นจะไม่รุนแรงเหมือนในเด็กทารก แต่วัยรุ่นสามารถส่งต่อแพร่กระจายเชื้อให้คนในครอบครัวหรือชุมชนได้ ทั้งนี้ ในการป้องกันการระบาดคนในชุมชนอย่างน้อยร้อยละ 90 ต้องมีภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรน ดังนั้น การให้วัคซีนป้องกันไอกรนเข็มกระตุ้นในวัยรุ่น จึงมีความสำคัญโดยการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นไอกรนในวัยรุ่น 5 เข็ม ในช่วง 5 ขวบปีแรก
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปภูมิคุ้มกันจะลดลง โดยคำแนะนำของสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย จึงแนะนำให้วัยรุ่นรับวัคซีนเข็มกระตุ้นในช่วงอายุ 11-12 ปี จะเป็นชนิดวัคซีนรวม (โรคคอตีบ โรคไอกรน โรคบาดทะยัก) การที่มีวัคซีนไอกรนที่ผลิตในประเทศไทย และได้รับการอนุมัติรับรองขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยาของไทย และในต่างประเทศ เป็นความสำเร็จที่อาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยคาดหวังว่าแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในเด็กไทย จะมีการขยายจากการให้วัคซีนเข็มกระตุ้นในเด็กวัย 11-12 ปี (ประถมศึกษาชั้นปีที่ 6) จากที่มีการให้วัคซีนกระตุ้นเฉพาะ โรคคอตีบ โรคบาดทะยัก จะเพิ่มเป็นวัคซีนรวมโรคคอตีบ โรคไอกรน โรคบาดทะยัก ในอนาคตต่อไป
No comments:
Post a Comment